Basic knowledge : ยาง
บางทีซื้อยางมาไม่รู้ว่าจะได้ยางเก่ายางใหม่ ขนาดยางเท่าไหร่ ใช้งานแบบไหนดี และยางที่มีจะใช้ได้ดีอีกแค่ไหน ผู้ผลิตยางเองก็มีการบอกข้อมูลต่างๆมาบนยางแล้วมากพอควร มาดูกันทีละตัวเลย
เริ่มต้นจากตัวเลขและตัวหนังสือบนแก้มยางก่อน ตัวแรกสุดที่เราจะเห็นและให้ความสำคัญกับมันมากที่สุดคือ ขนาด
วิธีการบอกขนาดของยางมีหลายมาตรฐาน แต่เอาแค่ที่ใช้กันมากๆสองแบบก็พอ
แบบแรกคือบอกในมาตรานิ้ว พวกรถรุ่นเก่าหรือรถเล็กบ้านเราบางรุ่นจะใช้แบบนี้
ตัวอย่างเช่น 2.25 L 17 4PR
2.25 คือความกว้างหน้ายาง 2.25 นิ้ว
L คือเรทความเร็วสูงสุดที่ยางรับได้ ซึ่งตัว L หมายถึง 120 กม./ชม.
17 คือขนาดขอบล้อ 17 นิ้ว
4 PR คือ Ply Rating หมายถึงความแข็งแรงของวัสดุที่ใช้รองหน้ายาง เทียบเท่ากับความแข็งแรงของการรองด้วยชั้นผ้าใบ 4 ชั้น
แบบที่สองคือบอกเป็นมาตราเมตริก ที่ให้ข้อมูลได้ละเอียดกว่า ยางรุ่นใหม่ๆจึงนิยมบอกขนาดเป็นเมตริกกันมากกว่า
ตัวอย่าง 1 เช่น 120/70-ZR17 58W (MICHELIN)
120 คือความกว้างหน้ายาง 120 มิลลิเมตร
70 คือความสูงแก้มยาง วัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของความกว้างหน้ายาง ในตัวอย่างคือ 70% ของ 120 นั่นคือยางมีความสูง 84 มม.
Z คือตัวบอกว่าเป็นยางที่ใช้กับรถความเร็วสูง
R คือบอกชนิดของยาง ว่าเป็นยางเรเดียล ถ้าไม่มีตัวนี้แสดงว่าเป็นยาง Belt Bias
17 คือขนาดขอบล้อ 17 นิ้ว
58 คือเรทการรับน้ำหนักสูงสุดของยาง (Load Index) เทียบเท่ากับ 236 กิโลกรัม
W คือเรทความเร็วสูงสุดที่ยางรับได้ ซึ่งตัว W หมายถึงไม่เกิน 270 กม./ชม.
ถ้ามีคำว่า M/C อยู่นั่นจะเป็นตัวบอกว่ายางเส้นนี้ออกแบบมาให้ใช้กับมอเตอร์ไซค์
ตัวอย่าง 2 เช่น 100/80-17 52S (IRC)
100 คือความกว้างหน้ายาง 100 มิลลิเมตร
80 คือความสูงแก้มยาง วัดเป็นเปอร์เซ็นต์ของความกว้างหน้ายาง ในตัวอย่างคือ 80% ของ 100 นั่นคือยางมีความสูง 80 มม.
17 คือขนาดขอบล้อ 17 นิ้ว
52 คือเรทการรับน้ำหนักสูงสุดของยาง (Load Index) เทียบเท่ากับ 200 กิโลกรัม
S คือเรทความเร็วสูงสุดที่ยางรับได้ ซึ่งตัว S หมายถึงไม่เกิน 180 กม. /ชม.
ด้านหลังของตัวเลขบอกขนาดหรือบอกชื่อรุ่นยางอาจจะมีตัวหนังสือ F หรือ R อยู่ด้วย บางทีก็บอกกันตรงๆเลยว่า Front หรือ Rear บอกให้รู้ว่ายางเส้นนี้ใช้กับล้อหน้าหรือล้อหลัง พร้อมกับลูกศรบอกทิศทางการหมุน เวลาใส่ต้องใส่ให้ถูกทิศทางด้วย แล้วก็บอกประเภทของยางเช่นยาง Radial แบบในรูปนี้
มีรูปรอหารูป
ตัวสำคัญอีกตัวหนึ่งคือ *DOT* มองหาตัวนี้แล้วก็ดูตัวเลขชุด 4 ตัวที่ตามหลัง นั่นจะเป็นตัวบอกวันที่ผลิตยางเส้นนั้น ตัวเลขสองตัวแรกบอกสัปดาห์ที่เท่าไหร่ ตัวเลขสองตัวหลังบอกว่าของปีอะไร อย่างเช่น *DOT* (*2106*) นั่นคือยางเส้นนั้นผลิตในสัปดาห์ที่ 21 ของปี 2006
ต่อมาก็เป็นตัวบอกน้ำหนักบรรทุกสูงสุด บอกเป็นตัวเลขกันตรงๆเลย แล้วก็แรงดันลมยางสูงสุดที่ยางจะรับได้ แล้วก็ตัวบอกความแข็งแรงของยางเช่น LR5 อย่างในรูปข้างล่างนี่คือความแข็งแรงเทียบเท่าชชั้นผ้าใบเรเดียล 5 ชั้น
ยางบางรุ่นจะบอกวัสดุที่ใช้ทำชั้นโครงสร้างเสริมความแข็งแรงของยางด้วย อย่างรูปข้างล่างนี่บอกว่าหน้ายางมีโครงสร้างเป็น Aramid 2 ชั้น และ Rayon 2 ชั้น ส่วนแก้มยางมีโครงสร้างเป็น Rayon 2 ชั้น
Aramid นั้นเราจะรู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Kevlar
อีกตัวหนึ่งคือจุดสีเหลืองบนแก้มยาง นั่นจะเป็นจุดที่เบาที่สุดของยาง เวลาใส่ให้จุดนี้ตรงกับจุกเติมลมยาง จะทำให้ยางมีสมดุลย์ดีที่สุด เวลาเอาไปถ่วงล้อก็ไม่ต้องเติมน้ำหนักถ่วงมากนัก
ถ้ามองที่แก้มยางตรงส่วนที่ชิดหน้ายาง จะมองเห็นรูปสามเหลี่ยมเป็นหัวลูกศรชี้ขึ้นไปที่หน้ายาง ถ้ามองไล่ตามแนวลูกศรขึ้นไปที่หน้ายางจะเห็นร่องดอกยางจุดหนึ่งที่ตื้นกว่าบริเวณอื่นๆ นั่นคือร่องบอกความลึกดอกยาง ถ้าเมื่อไหร่ร่องตรงส่วนที่ตื้นนี้เรียบเสมอไปกับหน้ายางแล้วล่ะก็ แสดงว่าดอกยางเหลือน้อยเกินกว่าจะใช้งานแล้ว ถึงเวลาเปลี่ยนยางได้แล้ว
อีกส่วนคือแถบสีที่เป็นเส้นพาดยางตามเส้นรอบวงยาง เป็นตัวบอกระยะรันอินของยาง เพราะยางใหม่ๆจะมีการเคลือบสารเคมีเพื่อรักษาสภาพยางเอาไว้ เมื่อเอามาใช้สารเคลือบตัวนี้จะยังอยู่แล้วมันจะลื่น ใช้ไปเรื่อยๆแถบสีนี้จะจางลงๆ พอหมดก็แสดงว่ายางพร้อมใช้งาน เกาะถนนได้เต็มประสิทธิภาพแล้ว ส่วนขนๆที่อยู่รอบยางนั่นเป็นช่องไล่อากาศเวลาฉีดน้ำยางเข้าแบบ ใช้ๆไปมันก็หลุดร่วงไปเอง
มีรูปรอหารูป
ทีนี้เราก็รู้ล่ะว่ายางเส้นหนึ่งมีอะไรที่ผู้ผลิตบอกเราไว้บ้าง แล้วเวลาเลือกยาง มันมีหลายรุ่นหลายแบบ ต่างขนาดกันนิดๆหน่อยๆก็พอใส่แทนกันได้ แต่ใส่ไปแล้วจะเกิดอะไรตามมาน่ะรึ
อย่างแรกเลยคือความโค้งหน้ายางผิดไป ยางแต่ละขนาดจะออกแบบมาให้ใช้กับขอบล้อที่ความกว้างต่างกัน เมื่อเอามาใส่กับขอบล้อผิดขนาดมันก็บีบหรือถ่างให้ฐานของส่วนโค้งมีความกว้างผิดไป ผลคือรัศมีความโค้งหน้ายางเปลี่ยนไปจากที่ออกแบบมา ผลของมันก็มีตั้งแต่เล็กๆน้อยๆไปจนถึงร้ายแรง ขนาดเส้นรอบวงยางอาจจะผิดไปเล็กน้อย นั่นไม่เท่าไหร่ แต่ความโค้งเปลี่ยนพื้นที่สัมผัสและมุมของยางที่สัมผัสพื้นเปลี่ยนไป การยึดเกาะถนนก็เปลี่ยนไปกินกำลังรถมากกว่าเดิมหรือไม่เกาะถนนเท่าเดิม ผลจากร่องรีดน้ำไล่ฝุ่นต่างๆก็เปลี่ยนไป นี่เรื่องใหญ่พอควร และสำคัญมากๆคือฟีลลิ่งการขับขี่เปลี่ยนไป ยางที่กางออกมาจะเข้าโค้งได้เฉื่อยชากว่าเดิมคือเอียงรถเท่าเดิมแต่เลี้ยวได้น้อยกว่าเดิมหรือรัศมีวงเลี้ยวจากการเอียงรถมากขึ้น แต่ถ้ายางถูกบีบจากขอบล้อแคบๆ หน้ายางจะแหลมกว่าเดิมและมีความโค้งไม่สม่ำเสมอคือเป็นรูปส่วนของวงรีแทนที่จะเป็นวงกลม เดินคันเร่งมากตอนที่รถตั้งตรงอาจจะมีอาการเลื้อยให้เห็น จังหวะเข้าโค้งจะมีช่วงหนึ่งที่ยางสัมผัสถนนน้อยลงจนออกอาการเหมือนจะหลุดโค้ง โดยเฉพาะช่วงออกจากโค้งถ้าเดินคันเร่งมากในจังหวะนี้ก้มีโอกาสจะดิ้นปั้ดๆได้มาก
สรุปแล้วยางไซส์มาตรฐานดีที่สุด เปลี่ยนขนาดยางก็ควรเปลี่ยนล้อด้วย แต่ถ้าขี่เล่นชิวๆยางผิดขนาดไปเบอร์หนึ่งก็ไม่เป็นไร อย่างที่ทำกันมากคือยางหลัง 180/55-17 ล้อ 5.5" แต่มักจะใส่ยาง 190/50-17 ที่ทำไว้ใช้กับล้อ 6" ผิดขนาดเล็กน้อยแต่ก็เห็นผลพอควร ถ้าจับอาการได้จะรู้สึกเลยว่ายาง 190/50 วิ่งทางตรงนิ่งดี และให้ความมั่นใจในโค้งได้ดีกว่า เข้าโค้งแล้วมิดหน้ายางพอดีแต่ยาง 180/55 ใส่โค้งเต็มๆแล้วมีล้นขอบให้หวาดเสียวอยู่เรื่อย
แต่ถ้าจะให้แน่ใจ ลองเช็คกับเว็บไซท์ผู้ผลิตยาง เพราะยางบางแบบออกแบบมาให้ใช้กับขอบล้อต่างความกว้างกัน อย่างเช่นยาง 190/50-17 บางรุ่นออกแบบมาให้ใช้กับล้อ 5.5" ก็มี
ในรูปนี้คือความโค้งที่ต่างกันของยาง 190/50 กับ 180/55 บนขอบ 5.5" เหมือนกัน จะเห็นว่าเส้นสีน้ำเงินที่แสดงถึงยาง 190/50 ถูกถ่างออกจนหน้ายางส่วนที่จะสัมผัสพื้นกางและโค้งน้อยกว่า 180/55 ที่เป็นเส้นสีเขียว ทำให้ 190 มีหน้าสัมผัสพื้นถนนบนทางตรงมากกว่าทำให้กินกำลังและหนืดกว่า
พอเริ่มเอียงรถ ความโค้งของเส้นเขียวมากกว่าจะทำให้เลี้ยวได้คล่องและเปลี่ยนทิศทงาเร็วกว่า 190 ที่เห็นจากเส้นน้ำเงินของ 190 ที่ความโค้งค่อยๆเปลี่ยนทำให้การเริ่มเข้าโค้งจะเฉื่อยกว่า
แต่เมื่อเอียงรถลงมาถึงระดับหนึ่งจะเห็นเส้นโค้งหน้ายางช่วงต่อมาที่ทำไว้รับการเข้าโค้งใกล้เคียงกัน ที่เห็นเส้นเขียวของ 180 กับเส้นน้ำเงิน 190 ซ้อนทับกัน จากช่วงนั้นการเข้าโค้งจะได้ฟีลเดียวกัน
แต่เมื่อเลยมาจนสุดจะเห็นเส้นเขียวของ 180 หมดก่อนแต่เส้นน้ำเงินของยาง 190 ยังมีต่อ นั่นคือ 190/50 มีส่วนของหน้ายางมากกว่า รองรับการเอียงรถได้มากกว่า
เมื่อดูขนาดที่พอใจแล้วก็มาดูที่ลักษณะการใช้งาน ยางที่ขายทั่วไปมีทั้งลายดอกยางแบบใช้งานบนถนนทั่วไป ทางฝุ่น รถความเร็วสูง ไปจนถึงยางสำหรับขาซิ่ง ให้เลือกดูว่าเราใช้งานแบบไหนเป็นหลัก และยางแต่ละแบบมีข้อจำกัดต่างกัน
ยางที่ทำไว้ใช้งานทั่วไป เน้นการใช้งานในเมือง สามารถรับกับสภาพเส้นทางหลากหลายแต่ไม่เหมาะกับความเร็วสูง สามารถรีดน้ำและเผื่อทางลุยนิดๆได้ดี อายุใช้งานนาน ราคาถูก
สำหรับขาลุยหรือคนที่บ้านกันดาร ก็ต้องยางลุยทางฝุ่น ตะกุยพื้นได้ดี แต่วิ่งทางเรียบกระเทือนมาก วิ่งเร็วไม่ได้ มันส่าย ใช้งานได้ทน ราคาค่อนข้างสูง
ยางสำหรับ Cruiser หรือ Touring เน้นที่การเดินทางไกลด้วยความเร็วไม่สูง รับได้ทุกสภาพอากาศ มีความทนทาน ใช้งานได้นานและให้ความนุ่มนวลดีกว่ายางสปอร์ท
ยางที่ทำไว้ใช้บนถนนธรรมดากับความเร็วสูงขึ้นมาหน่อย รีดน้ำได้ดี ใช้งานได้หลากหลาย จะเหมาะสำหรับคนชอบเที่ยวตามถนนดำทั่วไป อายุใช้งานนาน ราคาค่อนข้างถูก
สำหรับรถความเร็วสูง แต่ก็ยังเน้นที่การเดินทางแบบสบายๆ เกาะถนนดีกว่า เนื้อยางนิ่มกว่า อายุใช้งานก็เลยสั้นลงมาหน่อย ราคาสูงขึ้นอีกนิด
สำหรับรถความเร็วสูงที่เน้นการใช้ความเร็ว แลกสมรรถนะการเกาะถนนที่ดีขึ้นกับการรีดน้ำตะกายฝุ่นที่แย่ลงจากที่เห็นว่าร่องรีดน้ำหายไปมาก เนื้อยางนิ่มขึ้นมาอีกระดับ อายุสั้น ราคาแพงขึ้นอีก เหมาะสำหรับนักเที่ยวขาซิ่ง
สำหรับนักซิ่งโดยเฉพาะ เจอน้ำเจอฝุ่นล่ะวิ่งไม่เป็นเลยแต่ดีโคตรๆกับทางแห้ง เกาะเป็นตีนตุ๊กแก อายุโคตรสั้น ออกทริปเดียวยางเกลี้ยงเลย ราคามหาโหด
แล้วยังมี Compound นิ่มพิเศษ เกาะหนึบหนับ บดคันเร่งจะเห็นยางเป็นขุย วิ่งได้ไม่กี่กิโลก็เรียบสนิท เห็นแล้วอยากนั่งร้องไห้กับราคายาง
ยางสลิคแกะดอกชัดๆ เนื้อยางเป็นสูตรยางสนาม เอามาขี่เที่ยวอาจหมดก่อนกลับถึงบ้าน ราคาอย่าให้พูดเลย เปลี่ยนยางไม่กี่ทีก็เท่าราคารถแล้ว
สุดท้ายกับยางสูตรยอดนิยม ไม่เกาะ ไม่นุ่ม ไม่ลุย ไม่รีดน้ำ แต่ทนและถูก
จากที่ว่ามาถึงยางหลายสูตรที่ต่างกันทั้งลายดอกยาง ความแข็งแรงของโครงสร้าง เนื้อยาง ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่มีผลกับการใช้งาน ถ้าเราเอายางเนื้อแข็งใช้ทนราคาถูกมาเทโค้ง โอกาสกลิ้งมีสูง หรือเราเอายางเรซซิ่งเนื้อนิ่มเป็นยางลบมาใส่วิ่งในเมือง เราจะเจอเหล็กปูถนนบาดยาง ก้อนกรวดเศษกระจกแตกฝังเข้าเนื้อ ยางจะหมดสภาพไปก่อนวัยอันควรโดยไม่ได้ใช้ประโยชน์ให้สมราคาของมันเลย เลือกยางให้ถูกกับประเภทการใช้งานดีกว่าจะไปเลือกเพราะมันเกาะถนนที่สุด ราคาแพงที่สุด ถ้าไม่ได้ใช้ประโยชน์เฉพาะทางจากมันก็จะเสียเงินเปล่า
เมื่อได้ขนาด ได้ชนิดของยางที่พอใจแล้ว ก็มาดูที่วันที่ผลิต ยางใหม่ได้เปรียบ แต่ก็ไม่ใช่ยางเก่าจะใช้ไม่ได้ ยางรถถ้าเก็บดีๆสามารถเก็บได้นาน 3-5 ปีโดยไม่เสื่อมสภาพ ดูวิธีเก็บยางของร้านก็จะพอรู้ได้ว่าร้านนั้นเก็บยางดีแค่ไหน
ถ้าหากเก็บด้วยการวางยางตั้งไว้บนชั้นเยอะมีฝุ่นจับเขรอะ แบบนี้ยางเสียง่ายเพราะน้ำหนักตกทับจุดเดียว ยางจะเสียรูปไม่กลม ถ้าไม่มีฝุ่นก็อาจเป็นได้ว่าเขาหมุนยางที่วางเป็นระยะๆ ทำให้ยางไม่โดนกดทับที่เดียว ยางจะไม่เสียรูป เว้นแต่ว่าที่ไม่มีฝุ่นเพราะปัดออกเท่านั้น ถึงได้บอกให้เลือกยางใหม่ อย่างน้อยมันก็วางมาไม่นานล่ะ
การเก็บยางด้วยการวางตะแคงซ้อนๆกันจะรักษาสภาพยางได้ดีกว่า แต่วางทับมากๆก็ไม่ดีอีกน่ะแหละ อีกอย่างคือที่เก็บยางต้องเย็นและแห้ง และจำไว้ว่ายางจะเสื่อมสภาพได้เร็วที่สุดเมื่อโดนรังสี UV
ขั้นต่อมาเมื่อเลือกยางได้ เวลาใส่ยางก็ต้องดูให้ดี โดยเฉพาะยาง Tubeless อย่าใช้วิธีงัดเอาดื้อๆเชียวล่ะ ขอบยาง Tubeless จะเกาะขอบแน่นมาก ควรจะใช้เครื่องถอดยางแบบรถยนต์ หรือถ้าไม่มีรก็่ต้องใช้เครื่องกดขอบยางให้หลุดจากล้อ ถ้าไม่มีอีกก็ใช้ท่อนไม้วางบนแก้มยางแล้วขึ้นไปเหยียบให้ยางหลุดขอบ แล้วค่อยงัดออกโดยใช้แผ่นรองเหล็กงัดอย่าให้ขอบล้อบิ่น ไม่งั้นลมจะรั่ว เวลางัดยางเข้าหรือออกก็ต้องไม่ให้มีรอบปริขาดที่ขอบยาง ไม่งั้นยางจะรั่วและเสียไปเลย สรุปแล้วใช้เครื่องถอดดีที่สุด ถ้าร้านยางมีเครื่องถ่วงล้อก็จัดการซะเลย
เมื่อได้ยางมาใช้แล้วก็ต้องดูแลให้ดี โดยเฉพาะรถที่ต้องจอดโดนแดดจัดเป็นประจำ ควรจะล้างทำความสะอาดด้วยน้ำยาล้างรถ ใช้แปรงขนอ่อนขัด ถ้าเศษหินเศษอะไรติดก็แซะออกซะด้วย ทิ้งไว้มันจะกดให้เนื้อยางฉีกปริออกมา ล้างเสร็จแล้วพอแห้งก็ลงน้ำยาเคลือบยางซึ่งจะช่วยปกป้องเนื้อยางจากรังสี UV ช่วยไม่ให้แตกลายงา แต่ระวังเพราะถ้าลงน้ำยาไปถึงหน้ายางด้วยมันจะลื่น ถ้าเคลือบทั่วๆก็ต้องเอามาวิ่งช้าๆซักระยะให้น้ำยาที่หน้ายางหลุดไปก่อน
สุดท้ายล่ะ การเติมลมยาง ตามสเปครถที่มักจะบอกไว้บนบังโซ่ ถ้าไม่รู้ก็หน้า/หลัง 30/30 psi แล้วค่อยไปปรับกันตามความพอใจ การวัดลมยางต้องทำในขณะที่ยางเย็น วิ่งไปยางร้อนขึ้นจะมีแรงดันสูงขึ้น ค่าที่วัดได้จะเพี้ยนเพราะสเปคลมยางของผู้ผลิตเขาบอกค่าในขณะยางเย็นก็ต้องวัดตามระบบของเขา
ความเชื่อผิดๆของหลายคนคือในขณะฝนตกหรือวิ่งลุยน้ำ มักจะปล่อยลมยางออกเพราะเชื่อว่ายางอ่อนจะเกาะถนนดีกว่า แต่ความจริงแล้วถ้าลมยางอ่อนหน้ายางจะบิดตัวง่าย ทำให้ผิวสัมผัสลดลง การเกาะถนนก็ลดลง และร่องรีดน้ำของยางจะถูกกดทับทำให้มีอาการเหินน้ำได้ง่าย จึงควรใช้ลมยางมาตรฐานจะดีที่สุด
การเดินทางไกลต้องเติมลมมากกว่าปกติเล็กน้อย เพื่อให้ยางมีอุณหภูมิต่ำ บางคนคิดว่าเติมลมน้อยกว่าเดิมพอยางร้อนแรงดันสูงขึ้นก็จะได้แรงดันพอดี แต่นั่นผิดมหันต์เลย เพราะแรงดันต่ำนั้นจะทำให้ยางร้อนจัด กว่าที่จะได้แรงดันพอดียางจะเสียคุณสมบัติ เนื้อนิ่มลงมากๆและอาจหลุดร่อนจากโครงสร้างหลักหรือระเบิดได้ จำไว้ว่าเราให้ความสำคัญกับความร้อนมากกว่า
ทริคเล็กๆน้อยเกี่ยวกับลมยางคือถ้าเราปล่องลมให้แรงดันต่ำกว่าเดิมนิดหน่อย มันจะหนืดในทางตรงและเสถียรภาพแย่ลงในทางตรง แต่จะเกาะโค้งดีกว่าเดิม ถ้าจะเอาลงสนามหรือไปเล่นกับช่วงที่โค้งมากๆลองวิธีนี้ดูก็ได้
แต่อย่าลืมว่าโค้งลับตาโดยเฉพาะโค้งบนเขาอันตรายมาก ขับขี่ปลอดภัย เมาไม่ขับ อย่าลืมนะ
ความรู้เพิ่มเติมสามารถเข้าไปศึกษา อย่างละเอียดจากผู้ผลิต :
http://www.cbrclubthailand.com/cbrclubthailand-knowledge/basic-knowledge-(tire)/msg1149/#msg1149
http://www.bridgestone.co.th/th/tire_safety/tire_safty_knowledge.aspx
http://www.michelin.co.th/thai/tyre_tips/tips.jsp
http://www.goodyear.co.th/tire_school.html
http://www.mmsvs.com/tyre_tip.html